เมนู

วันอังคารที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2567

BINGE RECOVER : Lesson 2 Hunger and Satiety)

 

บทที่2 เรียนรู้สัญญาณหิวและอิ่ม

(hunger  and satiety)

1. ถามตัวเองว่าหิวจริงหรือไม่

เริ่มต้นด้วยการถามตัวเองว่า “ฉันรู้สึกหิวจริง ๆ หรือไม่?” ความหิวทางร่างกายมักจะค่อย ๆ เพิ่มขึ้น และอาจเกิดร่วมกับสัญญาณทางกาย เช่น

ท้องร้อง

รู้สึกอ่อนแรง

เวียนหัว

ขาดพลังงาน

ในขณะที่ความหิวจากอารมณ์มักจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและเป็นแรงผลักดันให้คุณอยากกินอาหารประเภทหนึ่งโดยเฉพาะ (เช่น ขนมหวานหรืออาหารที่ให้ความรู้สึกสบาย)

2. ประเมินความหิวด้วยสเกล 1-10

ใช้สเกลความหิว 1-10 เพื่อประเมินระดับความหิวก่อนที่จะกิน:

1-2: หิวมากจนรู้สึกอ่อนแรง

3-4: เริ่มรู้สึกหิวเล็กน้อย

5-6: รู้สึกเป็นกลาง ไม่หิวหรืออิ่มเกินไป

7-8: อิ่มสบาย ไม่ต้องการอาหารเพิ่มเติม

9-10: อิ่มมากจนรู้สึกอึดอัด

ถ้าคุณอยู่ที่ระดับ 1-4 นั่นแสดงว่าร่างกายต้องการอาหารจริง ๆ แต่ถ้ารู้สึกอยากกินที่ระดับ 5-6 หรือต่ำกว่า นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าความอยากกินเกิดจากอารมณ์ ไม่ใช่จากความหิว


3. สำรวจอารมณ์ของตนเอง

หากคุณคิดว่าความอยากกินไม่ได้เกิดจากความหิวทางกาย ลองถามตัวเองว่ากำลังรู้สึกอะไรอยู่:


เครียด

เบื่อ

เหงา

เศร้า

โกรธ


หากคุณตอบว่าใช่กับอารมณ์ใด ๆ เหล่านี้ นั่นอาจเป็นสัญญาณว่าความอยากกินเกิดจากอารมณ์มากกว่าความต้องการทางกาย

4. รอ 10-15 นาทีก่อนตัดสินใจกิน

เมื่อรู้สึกอยากกินอาหารเพราะอารมณ์ ลองรอสัก 10-15 นาทีเพื่อดูว่าความอยากนั้นยังคงอยู่หรือไม่ ระหว่างรอ คุณสามารถลองทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่ช่วยให้ผ่อนคลายความเครียดหรืออารมณ์ เช่น:


การเดินเล่น

อ่านหนังสือ

ฟังเพลง

ทำสมาธิ


ถ้าหลังจากช่วงเวลานั้นคุณยังคงรู้สึกหิว อาจเป็นสัญญาณว่าร่างกายต้องการอาหารจริง ๆ

5. ถามตัวเองว่ากินจะช่วยแก้ปัญหาหรือไม่


ถามตัวเองว่า “ถ้ากินแล้ว ฉันจะรู้สึกดีขึ้นจริง ๆ ไหม?” การกินเพื่อลดความเครียดหรือแก้ปัญหาอารมณ์มักจะไม่ทำให้อารมณ์ดีขึ้นในระยะยาว อาจทำให้รู้สึกผิดหรือไม่สบายใจมากขึ้นหลังจากกินแล้ว

6. หาวิธีจัดการกับอารมณ์โดยไม่ใช้การกิน หากพบว่าความอยากกินเกิดจากอารมณ์ ควรหาวิธีจัดการกับอารมณ์นั้นอย่างสร้างสรรค์ เช่น: การทำกิจกรรมที่ช่วยลดความเครียด เช่น การฝึกโยคะหรือการหายใจลึก

การพูดคุยกับเพื่อนหรือคนใกล้ชิดเพื่อแบ่งปันความรู้สึก

การหาวิธีระบายอารมณ์ เช่น การเขียนบันทึกหรือทำงานศิลปะ

7. รับรู้ถึงผลกระทบหลังการกิน

ถ้าคุณตัดสินใจกิน ลองสังเกตความรู้สึกของคุณหลังจากนั้น เช่น คุณรู้สึกพอใจ อิ่มสบาย หรือรู้สึกผิดหรือไม่? การสะท้อนความรู้สึกหลังการกินจะช่วยให้คุณเรียนรู้และเข้าใจพฤติกรรมของตัวเองได้ดีขึ้นในครั้งต่อไป


สรุป 

การประเมินว่าควรกินหรือไม่ควรกินเมื่อเกิดความอยากจากอารมณ์ ควรใช้การสังเกตสัญญาณทางร่างกาย ควบคู่กับการสำรวจอารมณ์ของตนเอง ถ้าพบว่าเกิดจากอารมณ์มากกว่าความหิว การหาวิธีจัดการอารมณ์ที่ไม่ใช้การกินจะเป็นทางเลือกที่ดี


contract


Contract instragram : https://www.instagram.com/amyamps_hea...
Line : @aui4947n


บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง 
BINGE EATING COVER : บทที่1 Listen & Honest
โภชนาการ โปรตีน : อาหารแลกเปลี่ยน โปรตีน 




วันจันทร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2567

BINGE RECOVER :Lesson1 Listen & Honest

 บทที่1 Listen & Honest 

(ทำความเข้าใจและยอมรับสภาวะของตัวเอง)

สิ่งแรกที่สำคัญคือการยอมรับว่าคุณกำลังเผชิญกับปัญหาการกินไม่หยุด ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผิดปกติหรือควรรู้สึกละอายใจ การเข้าใจว่าพฤติกรรมนี้เกิดขึ้นเพราะสภาวะทางจิตใจ เช่น ความเครียด ความวิตกกังวล หรืออารมณ์ที่ไม่มั่นคง ช่วยให้คุณสามารถเริ่มต้นดูแลตนเองได้

1. ฝึกสติ (Mindfulness): ฝึกสติในการรับประทานอาหาร โดยให้เธอรับรู้ถึงความหิวและความอิ่มของร่างกาย รวมถึงความรู้สึกทางกายภาพและจิตใจระหว่างการกิน อาจใช้วิธีการกินอย่างมีสติ (mindful eating) โดยการเคี้ยวอาหารช้า ๆ สังเกตถึงรสชาติ กลิ่น เนื้อสัมผัส และความรู้สึกขณะรับประทาน วิธีนี้จะช่วยให้เธอเชื่อมต่อกับความต้องการของร่างกายมากขึ้น

2. เรียนรู้สัญญาณหิวและอิ่ม: ให้เธอฝึกการรับรู้สัญญาณหิว-อิ่มของร่างกายอย่างละเอียด เช่น สอนให้เธอเริ่มกินเมื่อรู้สึกหิว (hunger) และหยุดกินเมื่อรู้สึกอิ่มพอดี (satiety) การฟังสัญญาณเหล่านี้จะช่วยปรับสมดุลการรับประทานอาหารตามที่ร่างกายต้องการจริง ๆ แทนที่จะได้รับอิทธิพลจากความคิดหรือคำพูดของคนอื่น

3. การตรวจสอบอารมณ์ก่อนการกิน: นางสาว ก ควรสำรวจว่าการกินในแต่ละครั้งนั้นเป็นการตอบสนองต่อความหิวทางกาย หรือเกิดจากความเครียด ความเศร้า หรือความเบื่อ หากเป็นการกินตามอารมณ์ อาจช่วยให้เธอเรียนรู้ที่จะหาวิธีจัดการกับอารมณ์เหล่านั้นแทนการใช้การกินเป็นวิธีแก้ไข

4. การบันทึกความรู้สึกและความหิว: ให้เธอบันทึกความรู้สึกและความหิวก่อนและหลังการกินในแต่ละมื้อ การเขียนบันทึกจะช่วยให้เธอเชื่อมโยงความรู้สึกของร่างกายกับสิ่งที่เธอกำลังรับประทาน และเรียนรู้ในการรับฟังเสียงจากภายในได้ดีขึ้น

5. การลดการควบคุมอาหารอย่างเข้มงวด: ช่วยเธอลดความเข้มงวดในการควบคุมอาหาร โดยสนับสนุนให้เธอกินอาหารหลากหลายชนิดในปริมาณที่เหมาะสมตามความต้องการของร่างกาย แทนที่จะเน้นการจำกัดอาหาร การยอมให้ตัวเองกินสิ่งที่ชอบในบางครั้งโดยไม่รู้สึกผิดจะช่วยให้เธอมีความสัมพันธ์ที่ดีกับการกินมากขึ้น

6. สนับสนุนการพักผ่อนและการจัดการความเครียด: ความเครียดและความเหนื่อยล้าสามารถทำให้ร่างกายสูญเสียการรับรู้ถึงสัญญาณความหิวหรืออิ่ม การให้เธอฝึกการพักผ่อนอย่างเพียงพอและการจัดการความเครียดอย่างเหมาะสม จะช่วยให้เธอสามารถฟังเสียงจากร่างกายได้ดียิ่งขึ้น



contract


Contract instragram : https://www.instagram.com/amyamps_hea...
Line : @aui4947n


บทความอื่นที่เกี่ยวข้อง

โภชนาการ ผลไม้ : ผลไม้อะไร กินได้แค่ไหน 
โภชนาการ โปรตีน : อาหารแลกเปลี่ยน โปรตีน